วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

Mr.Robot

วิจารณ์ซีรีย์ครั้งที่ 2 Mr.robot

ซีรีย์มาแรงของปีที่แล้วที่มีมากกว่าการแฮ๊ค
เป็นซีรีย์ที่เห็นว่าเป็นม้ามืดเพราะเปิดตัวมาแรง โดยที่คะแนนในเว็บมะเขือเน่าสูงถึง 96% เลย

เกริ่นกันก่อน
ซีรีย์นี้เป็นเรื่องราวของเอลเลียต แอนเดอร์สัน ชายหนุ่มที่เป็นโรคกลัวการเข้าสังคม โดยที่ตอนกลางวันเขาคือวิศวกรธรรมดาๆคอยดูแลด้านความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์ให้แก่บริษัท แต่พอตกยามค่ำคืนเขากลับกลายเป็นศาลเตี้ยที่ใช้ความสามารถในการแฮ๊คที่เอาตามซีรีย์ก็คงต้องพูดว่าอัจฉริยะหนักมาก มาแฮ๊คผู้คนที่เขาเชื่อว่ากำลังทำสิ่งที่ผิดกฎหมายอยู่ เอลเลียตใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาเจอกับ Fsociety ที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาและโลกทั้งใบไปตลอดกาล

เนื้อเรื่อง
ถ้าหากหวังว่าเรื่องนี้จะมีการแฮ๊คกันกลับไปกลับมาแบบมันส์ๆละก็..... คิดใหม่คะ! เพราะการแฮ๊คในเรื่องนี้แล้วดูเหมือนจะเป็นพระรองที่โดนกลบความเด่น เพราะ การเสียดสีประชดประชันสังคม ต่างหาก คือพระเอกหรือจุดประสงค์หลักของเรื่องที่แท้จริง ซึ่งตีแผ่ประเด็นนี้ได้ออกมาน่าคิดมาก โดยที่เราจะรับรู้เรื่องราวต่างๆผ่านโลกที่พระเอกมองและคนรอบตัวของพระเอกสลับกันในบางครั้ง ทั้ง 10 ตอนของซีซั่นแรก มีตอนที่อืดชวนหลับ อาจจะเป็นเพราะการถ่ายทำที่ใช้สีหม่นๆ บุคลิกของพระเอกที่บางครั้งออกแนวน่ารำคาญ หรือ การยัดเยียดคำคมชวนคิด(ในความคิดของเรา)ที่มีมากเกินไป แต่ตอนที่สนุกชวนลุ้น ก็ยังมีให้เห็นอยู่ ส่วนสิ่งที่เราชอบมากที่สุดของซีรีย์เรื่องนี้ คือ การหลอกผู้ชมเช่นเราจนเปื่อย แล้วอยู่ดีๆก็กลับมาพลิกมุมแบบคนละขั้วไปเลย ซาวน์แทรคที่ปล่อยออกมาได้เข้ากับช่วงจังหวะนั้นๆ มุมถ่ายภาพที่ทำให้ดูแล้วมันเครียดและหน่วงๆในช่วงที่มันควรจะเครียด หรือ การเล่าเรื่องที่ทำให้ผู้ชมนั้นมีส่วนร่วม

ซีรีย์นี้ตีแผ่อะไร : สังคมของคนแต่ละชนชั้น

 เอลเลียตเป็นตัวแทนคนชนชั้นกลาง มีชีวิตแบบเดิมๆ ตื่นนอน ไปทำงาน กลับบ้าน หรือมนุษย์เงินเดือน ซึ่งกิจกรรมของคนชนชั้นนี้ ก็จะหนีไม่พ้นการออกไปปาร์ตี้ด้วยกัน ดื่มสตารบัคส์ในตอนเช้า ดูหนังดีๆซะเรื่อง แองเจล่า มอส เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ไฟแรง หวังที่จะก้าวหน้าในการงานอาชีพ เชยล่าเป็นตัวแทนของคนชนชั้นล่าง ที่ต้องทำงานทุกๆอย่างที่ทำได้เพื่อเลี้ยงดูตัวเอง ข้ามกลับมาที่ไทเรลเป็นตัวแทนของคนชนชั้นสูง คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ใฝ่หาในอำนาจ ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา โปรดปรานการคุยโวเกี่ยวกับความรวยของตัวเอง หาความจริงใจได้ยาก แม้กระทั่งในครอบครัวก็ตาม
ซีรีย์ตีแผ่อะไร : อำนาจ ความทะเยอทะยาน

จะมีอยู่ตอนหนึ่งที่แองเจล่า มอสโดนเสนองานในตำแหน่งที่ค่อนข้างดีจากบริษัทที่ตอนแรกเธอไม่ชอบด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่เงินมันดีกว่า แองเจล่าก็เลยตัดสินใจรับงานนี้แบบไม่ลังเล หรือจะเป็นตอนที่ไทเรลอยากขึ้นเป็นประธานฝ่าย IT ก็เช่นกัน
ซีรีย์นี้ตีแผ่อะไร : ตัวละครที่เหมือนกับชีวิตจริง มีทั้งความดีและความชั่วอยู่ในตัว


เราเคยอ่านกระทู้หนึ่งในพันทิปที่ว่าพระเอกหรือตัวละครหลักในปัจจุบันไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนที่เลิศเลอสมบูรณ์แบบแล้ว เพราะสังคมในปัจจุบัน ไม่ใช่สังคมที่โหยหาคนในอุดมคติ แต่กลับโหยหาสิ่งที่พวกเขาสัมผัสได้จริงๆ และตัวละครเอลเลียตคือตรง ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตมาในครอบครัวที่มีปัญหา การติดมอร์ฟืน การเป็นโรคกลัวการเข้าสังคมและการพยายามแฮ๊คบุคคลที่รู้จักทุกคน หรือในด้านดีคือ การช่วยเหลือจนสุดชีวิตกับบุคคลที่เอลเลียตรู้จัก และความฉลาด
ซีรีย์นี้ตีแผ่อะไร : คำพูดจี๊ดๆที่ฟังแล้วเอากลับมาคิดได้

บทละครเรื่องนี้จัดว่าดีมากๆ นักแสดงแต่ละคนนี่ปล่อยคำคมๆออกมาแบบจี๊ด ทั้งนั้น โดยเฉพาะคำพูดเอลเลียตนี่แหละที่จี๊ด เกือบทุกตอน
ซีรีย์นี้ตีแผ่อะไร : สุดท้ายแล้วครอบครัวคือสิ่งที่ดีที่สุด

ช่วงเอลเลียตติดมอร์ฟืน มีคำพูดหนึ่งที่พ่อเอลเลียตพูดออกมา คือ พ่อไม่มีทางที่จะทิ้งเอลเลียตยังไงก็จะอยู่กับเอลเลียตตลอดไป จากตรงนี้แหละคะ ที่ทำให้เห็นว่า ไม่ว่าคนเราจะใช้ชีวิตไปในทางที่ผิด หรือ ตกต่ำยังไงก็ตาม สุดท้ายแล้วก็จะยังเป็นพ่อและแม่ที่อยู่เคียงข้างเราตลอดๆ หรือครอบครัวแองเจล่า มอส ในช่วงที่แองเจล่าแทบไม่มีเงินเหลือ พ่อของแองเจล่าก็เสนอตัวว่าให้เอาเงินเก็บของตัวเองไปตั้งตัวใหม่ ทั้งที่เงินเก็บคือเงินที่กู้มา กรณีนี้ยกเว้นครอบครัวของไทเรลไว้นะคะ


การแสดง
ไม่ผิดหวังแน่ๆสำหรับการแสดงของนักแสดงทุกคนในเรื่อง เล่นกันดีทุกคน แต่คนที่ตีบทแตกและแสดงออกมาได้โดดเด่นมากสำหรับเรามี3คน คนแรกคือ Rami Malek รับบทเป็นเอลเลียต พระเอกของเรื่องที่มีโรคกลัวการเข้าสังคมติดตัวมา Rami เล่นได้เหมือนจริงมาก เหมือนคนที่คิดอะไรอยู่ในหัวตลอด แต่ไม่พูดออกมา ตาที่ดูลอยๆ ท่าทางที่จะแปลกกว่าคนธรรมดาๆ ตอนที่เอลเลียตติดมอร์ฟืน อยากได้มอร์ฟืนแต่หาไม่ได้เนี่ย บิดไปบิดมาร้องโอดครวญเหมือนคนอยากยาจริงๆเลย ตอนใกล้จะจบซีซั่น ที่อาการของพระเอกจะกำเริบเห็นภาพหลอนต่างๆ Rami แสดงออกมาได้แบบไม่เขินเลย คือเชื่อได้เลยว่าพระเอกของเรื่องนี้บ้าไปแล้ว คนที่สอง คือ Martin Wallström รับบทเป็นไทเรล เวลลิคที่กำลังจะได้ขึ้นเป็นประธานฝ่ายไอทีของบริษัทที่ขึ้นชื่อว่าแทบจะคุมโลกใบนี้ทั้งหมดแล้ว แต่คนอื่นกลับมาแย่งไป จึงทำให้เกิดความเครียดแค้นขึ้นมา ขออธิบายตรงนี้นิดนึง คือ ที่ไทเรลเกิดความเครียดแค้นหนักขนาดนี้น่าจะเกิดมาจากตัวเองและภรรยาของตัวเองที่จะคอยกดดันอยู่ตลอด แบบล้มไม่ได้นะ ถ้าล้มเธอก็ไม่ต้องเป็นครอบครัวเดียวกับฉัน จากความกดดันที่กล่าวมาทำให้ตัวละครนี้น่าจะมีอาการทางจิตอ่อนๆ ซึ่ง Martin แสดงออกมาได้สะพรึงมาก มีแววตาที่สื่อถึงความเครียด,ความแค้น,ความเหนี่อย,ความสับสนตลอด หรือจะเป็นตอนตะโกนไล่ลูกน้องหรือใครก็ตาม ก็ทำได้ออกมาดีจริงๆ คนสุดท้ายสำหรับเรา คือ Stephanie Corneliussen แสดงเป็นโจแอนนา เวลลิค ภรรยาของไทเรล สำหรับคนอื่นๆอาจจะมองว่าธรรมดาและไม่ได้มีบทเด่นอะไรเลย แต่เราชอบ Stephanie เพราะแสดงออกมาได้เหมือนผู้หญิงร้ายลึกที่มีความทะเยอทะยาน ชอบและคลั่งในอำนาจ โดยจะเห็นได้ผ่านจากการควบคุมสามีหรือไทเรล ที่จะกลัวภรรยาของตัวเองมากและยอมทำทุกอย่างที่ Stephanie หรือ โจแอนนาสั่ง ส่วนอีกสามคนที่ได้รับบทเด่น แต่ยังไม่ค่อยถูกใจเราคือ Portia Doubleday แสดงเป็นแองเจล่า มอส เพื่อนสนิทของเอลเลียต, Carly Chaikin แสดงเป็น น้องชายของเอลเลียต และ Christian Slater แสดงเป็นใครนี่ต้องไปดูกันเอง ถ้าบอกต้องเป็นสปอยล์แน่ๆ

สุดท้ายแล้ว ถ้าใครชอบซีรีย์ที่เดินเรื่องแบบใหม่ๆหรือเน้นการคุยเป็นหลัก เราแนะนำซีรีย์เรื่องนี้นะคะ
แต่ถ้าใครไม่ชอบเราก็ไม่แนะนำคะ

คะแนนของซีรีย์คือ 8/10


                                  และสุดท้ายก็ตัวอย่างซีรีส์จ้า

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

The shannara Chronicles

วิจารณ์ซีรีย์ครั้งแรก The shannara chronicles
สวัสดีคะ นี่เป็นการรีวิวซีรีย์ครั้งแรกเลย ตื่นเต้นๆ 
ถ้าผิดพลาดตรงไหน หรือ ต้อง ปรับปรุงยังไง ก็ขอให้บอกเลยนะคะ และ ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ฝากตัวด้วยคะ!! // โค้งงามๆ

                           "มิตรภาพ การเสียสละ ความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดี และ การรักษาสัญญา"




เกริ่นกันก่อน
ซีรีย์เรื่องนี้สร้างมาจากหนังสือนวนิยายขายดีของ Terry brooks เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากสงครามล้างเผ่าพันธุ์ โดยที่เผ่าพันธุ์มนุษย์โดนทำลายไปเกือบหมด และเผ่าพันธุ์เอลฟ์ก็เป็นเผ่าที่ชนะสงครามครั้งนี้ จึงได้สถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นผู้นำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาต้นเอลครีสคอยคุ้มครองเอลฟ์และชนเผ่าอื่นๆ แต่วันหนึ่งต้นเอลครีสเนี่ยเกิดป่วยเป็นโรคขึ้นมา จึงทำให้ตัวหลักทั้งสามของเรื่องคือ แอมเบอร์ลี , วิล โอมส์ฟอร์ด และ เอรีเทรีย โรเวอร์ธรรมดาๆที่ชะตาต้องมาผกผันให้มาร่วมเดินทางด้วยกัน เพื่อช่วยเหลือต้นเอลครีสที่กำลังป่วยอยู่ ให้หายจากโรคก่อนที่จะมีสงครามเกิดขึ้นอีกครั้ง

เนื้อเรื่อง
ด้วยความที่เป็นพล็อตเรื่องแบบนิยายแฟนตาซีที่ส่วนใหญ่ความดีจะต้องชนะความชั่ว จึงทำให้ไม่ค่อยแปลกใจหรือลุ้นเท่าไหร่นัก ซึ่งบางครั้งก็เดาทางได้เองว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในแต่ละฉาก หรือ การแก้ปัญหาที่ดูจะง่ายเกินไป ในสองสามตอนแรกยังไม่ค่อยมีอะไรมากจนมาถึงตอนกลางๆที่เนื้อเรื่องดูจะเข้มข้นมากยิ่งขึ้น เริ่มมีการวางปม หรือพลิกมุม ปรากฏขึ้นมา และจะเผยออกมาในตอนท้ายๆของซีซั่นอีกที  สิ่งที่เราชอบที่สุดคือ การปะติดปะต่อเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างนุ่มนวล ไม่ตัดห้วนจนไม่รู้เรื่อง ถึงแม้จะมีสองถึงสามเหตุการณ์สลับไปมา การใช้แสงและสีในแต่ละฉาก ที่จัดว่าสวยอยู่พอตัวเลย ทางด้านการแต่งกายก็ดูเหมือนจะเป็นการแต่งที่ลงตัวระหว่างอนาคตและกลิ่นอายของความเป็นชนเผ่าต่างๆในเรื่อง โดยเฉพาะชุดของแอมเบอร์ลี และสุดท้าย คือ การใช้ CG ที่สมจริง ไม่หลอกตา เปรียบเหมือนหนังฮอลลีวู๊ดเรื่องหนึ่งเลย

ดูแล้วได้อะไร : มิตรภาพ


ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีหนังหรือซีรีส์หลายๆเรื่องที่สอนเรื่อง มิตรภาพ แต่เราว่าเรื่องนี้ก็สอนเรื่อง มิตรภาพ ได้ไม่แพ้กัน ทำให้เราเข้าใจว่าแม้จะตกอยู่ในสภาวะยากลำบากแต่ถ้าอยู่กับเพื่อนก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว ,การไม่ทิ้งเพื่อนไว้ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในภารกิจสำคัญก็จะกลับไปช่วยเสมอ (ตรงจุดๆนี้เราจะเห็นได้เกือบทั้งเรื่อง) หรือคำว่าเพื่อนที่ไม่จำเป็นต้องมีมากมาย ขอแค่สักคนที่เราสามารถเชื่อใจและเล่าออกมาในทุกๆเรื่องได้

ดูแล้วได้อะไร : การเสียสละ


ถ้าพูดว่าเรื่องนี้นั้นสอนเรื่อง มิตรภาพ ก็ต้องพูดด้วยว่า การเสียสละ ก็เช่นกัน ซึ่งมาในรูปแบบของการเสียสละเพื่อส่วนรวม โดยที่ยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อภารกิจครั้งสำคัญ

ดูแล้วได้อะไร : ความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดี และ การรักษาสัญญา


ถ้าเปิดเรื่องนี้ดูแล้ว เราจะเห็นตัวละครหนึ่งที่เป็นตัวละครที่จะซื่อสัตย์ และรักษาคำสัญญามากๆๆ ต่อให้นิสัยแย่แค่ไหนก็ตาม จึงทำให้ตัวละครนี้ดูมีความน่าเชื่อถือขึ้นมา หรือเรื่องความจงรักภักดีต่อเจ้านายของตัวเอง  นิสัยเหล่านี้เป็นนิสัยที่ค่อยๆจะหายไปจากสังคมส่วนใหญ่แล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราได้จากเรื่องนี้คือควรจะรักษานิสัยตรงนี้เอาไว้ให้อยู่กับสังคมไปนานๆ

การแสดง
ด้วยความที่เป็นซีรีส์ของ MTV จึงทำให้นักแสดงหลักๆหน้าตาดีกันทู้กๆๆๆๆๆคน เราอิงจาก Teen Wolfนะ  ไม่เชื่อต้องไปดูเอง โดยตอนนี้จะขอพูดถึง Poppy Drayton แสดงเป็นแอมเบอร์ลี เจ้าหญิงเอลฟ์ภายในเรื่อง ความคิดเห็นเรานั้น Poppy ยังไม่สามารถทำให้เราเชื่อได้ว่านี่คือเจ้าหญิง เป็นการแสดงที่ยังดูไม่มีพลังมากพอเท่าไหร่นัก ทั้งที่คิดว่าบทนั้นจะส่งนักแสดงพอตัวเลย  เวลาบทจะต้องน่าสงสาร ก็กลับรู้สึกเฉยๆ หรือ บทที่จะแสดงความกล้า ก็ดูยังไม่สุด และ ขาดเสน่ห์ไปในบางครั้ง จึงทำให้โดน เอริเทรีย แสดงโดย Ivana Baquero จากเรื่อง Pan's Labyrinth กลบไปซะหมด โดยส่วนตัวแล้ว เราชอบทั้งตัวบทและการแสดงของ Ivana มากๆ Ivana ทำให้เรามีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละคร เมื่อมาบทเศร้า ก็เศร้าตาม บทจะแสดงความกล้า ก็ทำให้เรานับถือในความกล้าตรงนั้น อวยไปไหมๆๆ ด้วยตัวบทที่ส่งบวกกับการแสดงของ Ivana ด้วยแล้วนี่ถือว่าผ่านฉลุยเลย สุดท้ายคือ วิล โอมส์ฟอร์ด แสดงโดย Austin Butler จากเรื่อง The Carrie Diaries หนึ่งในตัวสำคัญของเรื่อง การแสดงของ austin สำหรับเราแล้วถือว่าโอเคเลย แต่ยังธรรมดาไปในบางครั้ง ไม่ค่อยน่าดึงดูดเท่าไหร่ แต่เราว่า Austin นี่แหละ เหมาะกับบทนี้แล้ว ถ้าเอาคนอื่นมาเล่นๆก็คงแปลกๆไปอีกทั้งในซีรีส์เรื่องนี้ยังมีนักแสดงจากเรื่อง Lord of the rings อย่าง John Rhys-Davies หรือจากเรื่อง The Hobbit อย่าง Manu Bennett ด้วย
 โดยส่วนตัวแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์ที่ดูฆ่าเวลาได้ ดูแล้วก็คุ้มที่ได้ดู แต่ถ้าถามว่าห้ามพลาดไหมก็คงจะไม่ถึงขนาดนั้นอีก แต่ถ้าดูแล้วก็เหมือนหยุดไม่ได้อีกละ ต้องดูให้จบ เอ๊ะ !เข้าใจยากจริงๆ

 สำหรับคะแนนของซีรีย์เรื่องนี้ คือ 7/10

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ ขอบคุณคะ


และท้ายสุด คือ ตัวอย่างซีรีส์จ้า